วัดหางดง ตั้งอยู่ในตำบลหางดง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานกว่า 500 ปี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2027 โดยในอดีตเคยรู้จักกันในชื่อ “วัดสันดอนแก้ว" หรือ “วัดดอนแก้ว" ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าได้รับการก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายสมัยของพญาติโลกราช แห่งราชวงศ์มังราย ผู้ปกครองอาณาจักรล้านนาในระหว่าง พ.ศ. 1985–2030
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยุคที่พุทธศาสนาในลัทธิลังกาวงศ์ใหม่ แพร่หลายและรุ่งเรืองภายใต้การนำของคณะสงฆ์นิกายสีหล โดยมีพระราชศรัทธาจากพญาติโลกราชเป็นแรงสนับสนุนสำคัญ พระองค์ได้ทรงสร้างวัดหลายแห่งเพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนา อาทิ วัดเจ็ดยอด และได้มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งแรกในดินแดนไทย
ชื่อของวัดแห่งนี้เคยสอดคล้องกับชื่อของชุมชนดั้งเดิมในพื้นที่ คือ “วัดบ้านดง" ภายหลังเมื่อมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองและตั้งแขวงแม่ท่าช้างเป็นอำเภอหางดง ชื่อวัดจึงได้รับการเปลี่ยนให้ตรงกับชื่อของหมู่บ้าน จนกลายเป็น “วัดหางดง" ในปัจจุบัน
ภายในวัดยังปรากฏงานจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนด้วยเทคนิคสีฝุ่น ซึ่งปรากฏอยู่บนผนังของวิหาร ภาพจิตรกรรมเหล่านี้ถ่ายทอดเรื่องราวจากชาดกต่าง ๆ เช่น เตมียชาดก มหาชนกชาดก และสุวรรณสามชาดก เป็นต้น ผลงานจิตรกรรมดังกล่าวสะท้อนถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นอย่างเด่นชัด สมควรได้รับการอนุรักษ์เพื่อสืบทอดแก่ชนรุ่นหลัง
พระประธานวัดหางดงเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยลงรักปิดทอง ฐานประดับด้วยแก้วกระจกผนังพระวิหาร ด้านหลังพระประธานประดับด้วยพระพิมพ์เสาและคานด้านบนพระวิหารประดับด้วยลวดลายปูนปั้นและแก้วกระจก ลงรักปิดทอง
ภายในวัดยังปรากฏงานจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนด้วยเทคนิคสีฝุ่น ซึ่งปรากฏอยู่บนผนังของวิหาร ภาพจิตรกรรมเหล่านี้ถ่ายทอดเรื่องราวจากชาดกต่าง ๆ เช่น เตมียชาดก มหาชนกชาดก และสุวรรณสามชาดก เป็นต้น ผลงานจิตรกรรมดังกล่าวสะท้อนถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นอย่างเด่นชัด สมควรได้รับการอนุรักษ์เพื่อสืบทอดแก่ชนรุ่นหลัง
บริเวณผนังฝั่งทิศเหนือในห้องที่หนึ่งของวิหาร ประกอบด้วยจิตรกรรมฝาผนังซึ่งแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วนหลัก คือ ส่วนบนเหนือหน้าต่าง และส่วนล่างที่อยู่ด้านข้างของหน้าต่าง ภาพจิตรกรรมด้านบนดำเนินเรื่องโดยเรียงลำดับจากมุมขวาบนลงสู่ขวาล่าง แล้วเลื่อนไปทางซ้ายล่างและขึ้นไปจบที่มุมซ้ายบน ซึ่งเป็นลำดับการเล่าเรื่องของชาดกจำนวน 4 เรื่อง ได้แก่ เตมียชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก และเนมิราชชาดก
ในภาพแรกด้านขวาบน เป็นเรื่องเตมียชาดก ชาติแรกในทศชาติชาดก ที่แสดงถึงการบำเพ็ญเนกขัมมบารมี ซึ่งหมายถึงการละเว้นจากกามคุณทั้งห้า เป็นช่วงชีวิตก่อนที่พระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า พระสมณโคดม
ถัดมาที่ภาพล่างขวา คือมหาชนกชาดก ซึ่งเป็นชาติที่สอง พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก โอรสของพระเจ้าอริฏฐชนก แห่งเมืองมิถิลา พระองค์ต้องเผชิญพายุกลางทะเลและว่ายน้ำต่อสู้กับคลื่นอยู่นานถึงเจ็ดวัน ก่อนที่นางเมขลาจะปรากฏตัวและทดสอบความเพียร ด้วยความเลื่อมใสในความมุ่งมั่นของพระองค์ นางจึงช่วยนำพระองค์ขึ้นฝั่ง เรื่องราวนี้สะท้อนถึงการบำเพ็ญวิริยบารมี
ภาพถัดไปทางซ้ายล่าง คือสุวรรณสามชาดก ชาติที่สาม พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ฤๅษีที่ดูแลบิดามารดาผู้ตาบอด แม้จะถูกยิงด้วยศรจากกบิลยักษ์จนบาดเจ็บสาหัส แต่พระองค์ไม่โกรธเคือง กลับแสดงเมตตาและแสดงธรรมแก่ผู้ที่ทำร้าย สุดท้ายจึงหายจากบาดแผล และทำให้บิดามารดากลับมามองเห็นได้ เรื่องราวนี้แสดงถึงการบำเพ็ญเมตตาบารมี
ภาพสุดท้ายที่มุมซ้ายบน เป็นเรื่องเนมิราชชาดก ชาติที่สี่ พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเนมิราช กษัตริย์แห่งเมืองมิถิลา ผู้มีศรัทธาแรงกล้าในทานและพรหมจรรย์ พระอินทร์ประทับใจในพระจริยาวัตร จึงส่งทิพยยานให้พระมาตุลีพาพระองค์ไปเยี่ยมชมสวรรค์และนรก และเชิญให้ครองเมืองสวรรค์ แต่พระองค์เลือกกลับบ้านเมือง และต่อมาเมื่อชราภาพก็ออกผนวช แสดงถึงการบำเพ็ญอธิษฐานบารมี
สำหรับภาพจิตรกรรมที่อยู่ด้านล่างบริเวณสองข้างของหน้าต่าง ประกอบด้วยภาพเทวดาถือดอกไม้ทางด้านขวา และภาพกินรีถือช่อดอกไม้ทางด้านซ้าย ภาพจิตรกรรมเหล่านี้มีความโดดเด่นด้านสีสันและรูปแบบที่ละเอียดงดงาม สะท้อนอิทธิพลจากจิตรกรรมภาคกลางของไทย ทั้งในด้านศิลปะการเขียนภาพ งานสถาปัตยกรรม และลักษณะการแต่งกาย แสดงถึงการผสมผสานทางศิลปกรรมระหว่างท้องถิ่นล้านนากับศิลปะจากภูมิภาคอื่นอย่างกลมกลืน
ภาพด้านบน แสดงฉากที่พระเตมีย์ทรงยกราชรถ ขณะที่ประชาชนกำลังขุดหลุมเพื่อฝังพระองค์ทั้งเป็น ภาพนี้สื่อถึงพละกำลังอันมหาศาลของพระองค์ อันเกิดจากการไม่เคลื่อนไหวเลยเป็นเวลาถึง 16 ปี เพื่อทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีอย่างเคร่งครัด
ภาพด้านล่าง แสดงเหตุการณ์พระมหาชนกขณะสำเภาแตกกลางมหาสมุทร พระองค์ทรงว่ายน้ำฝ่าคลื่นลมนานติดต่อกันถึงเจ็ดวัน ก่อนที่นางเมขลาจะปรากฏตัวและช่วยอุ้มพระองค์เหาะไปส่งยังฝั่งทะเลอย่างปลอดภัย
ภาพด้านล่างซ้าย เป็นภาพประกอบเรื่อง สุวรรณสามชาดก ซึ่งเป็นชาติที่สามในทศชาติชาดก ภาพจิตรกรรมถ่ายทอดเหตุการณ์ขณะพระสุวรรณสามถูกพระเจ้าปิลยักขราช กษัตริย์แห่งกรุงพาราณสี ลอบยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ หลังจากที่พระองค์ได้นำน้ำจากลำธารกลับมาให้บิดามารดาผู้ตาบอด และกำลังเดินทางกลับสู่อาศรม เมื่อได้รับบาดเจ็บ พระสุวรรณสามได้กราบทูลขอเห็นหน้าผู้ที่ทำร้ายตนโดยไม่มีเหตุอันควร พระเจ้าปิลยักขราชจึงเสด็จออกมาเปิดเผยพระองค์ พระสุวรรณสามจึงฝากฝังให้พระราชาทรงดูแลบิดามารดาของตน ก่อนที่จะหมดสติลง
ภาพด้านบนซ้าย เป็นภาพจาก เนมิราชชาดก ซึ่งเป็นชาติที่สี่ เล่าถึงพระเนมิราช ผู้เปี่ยมด้วยศรัทธาในธรรม ทรงดำรงพรหมจรรย์และประกอบการบริจาคทานอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง พระอินทร์จึงส่งพระมาตุลีนำทิพยยานพาพระองค์ขึ้นไปชมเมืองสวรรค์และนรก เพื่อแสดงผลแห่งกรรม แล้วได้เชิญให้พระองค์ครองเมืองสวรรค์ แต่พระเนมิราชทรงปฏิเสธและเลือกกลับมายังบ้านเมืองของพระองค์ ครั้นเมื่อมีพระชนมายุถึงเวลาสมควร จึงทรงออกผนวชด้วยความตั้งมั่นในบารมีธรรม
ภาพจิตรกรรมฝาผนังฝั่งทิศเหนือในห้องที่ 3 บริเวณด้านล่างขวามือของหน้าต่าง แสดงภาพเทวดาถือช่อดอกไม้ เป็นภาพที่เขียนขึ้นด้วยรูปแบบและลักษณะทางศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากจิตรกรรมภาคกลางของไทย จากลักษณะขององค์ประกอบภาพและแนวทางการเขียนที่แตกต่างจากศิลปะล้านนาแบบดั้งเดิม จึงมีข้อสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นผลงานของช่างพื้นเมืองที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการรับอิทธิพลจากศิลปกรรมภาคกลาง ทั้งในด้านเนื้อหาเกี่ยวกับชาดกและรูปแบบศิลปะการเขียนภาพ
ภาพจิตรกรรมฝาผนังฝั่งทิศเหนือในห้องที่ 3 บริเวณด้านล่างฝั่งซ้ายของหน้าต่าง เป็นภาพเขียนกินรีถือช่อดอกไม้ ลักษณะของภาพเขียนดังกล่าวแสดงอิทธิพลของจิตรกรรมภาคกลางอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านรูปแบบและท่วงท่าของตัวละคร ซึ่งมีความแตกต่างจากแนวทางศิลปะพื้นถิ่นล้านนาแบบดั้งเดิม จากการพิจารณาองค์ประกอบภาพ คาดว่าเป็นผลงานของช่างท้องถิ่นที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการรับอิทธิพลศิลปกรรมจากภาคกลาง ทำให้ลักษณะท่าทางของกินรีในภาพมีความคลาดเคลื่อนไปจากแม่แบบเดิมพอสมควร สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านทางศิลปะในระยะเริ่มแรกของการติดต่อวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาค
Sample Text